HPS Trade, a distribution agent
that accelerates business locally in Asia

MENUCLOSE

column

ข้อตกลงภาษีศุลกากรระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ลดเหลือ 15% จะส่งผลอย่างไรต่อโลจิสติกส์ยานยนต์?

ข้อตกลงภาษีศุลกากรระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ลดเหลือ 15% จะส่งผลอย่างไรต่อโลจิสติกส์ยานยนต์? | イーノさんのロジラジ

บทความนี้จะอธิบายข้อตกลงภาษีศุลกากรระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ที่ประกาศเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2025
โดยเฉพาะประเด็นสำคัญคือ การลดภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนจาก 25% เหลือ 15%
ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมโลจิสติกส์โดยตรง

ภาพรวมของข้อตกลงภาษี: จาก 25% เหลือ 15%

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นในอัตรา 25% ตั้งแต่เดือนเมษายน 2025
ในขณะที่ช่วงก่อนหน้านั้น (ถึงเดือนมีนาคม 2025) อัตราภาษีอยู่ที่เพียง 2.5%
จากข้อตกลงครั้งนี้ สหรัฐฯ และญี่ปุ่นตกลงที่จะ:

กำหนดอัตราภาษีร่วมกันที่ 15% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์

ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศเรื่องนี้ผ่านโซเชียลมีเดีย และสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการที่เกี่ยวข้อง

โลจิสติกส์ยานยนต์ปรับตัวอย่างไร?

บริษัทเรือและฟอร์เวิร์ดเดอร์ต่างแสดงความเห็นว่า:

“เมื่อเทียบกับ 25% ถือว่าเป็นไปในทางที่ดี”
“การวางแผนการผลิตและจัดส่งทำได้ง่ายขึ้น โลจิสติกส์ก็เช่นกัน”

ช่วงเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม การขนส่งทางเรือเป็นไปตามแผน ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเดิม 2.5% ภาษียังถือว่าสูงอยู่
อาจส่งผลต่อราคาขายและอุปสงค์ ทำให้การขนส่งชะลอลงได้เช่นกัน

ผลกระทบต่อโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน

ในสถานการณ์ที่ภาษีผันผวนเช่นนี้ บริษัทที่มีฐานการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้อง:
ปรับแผนการจัดส่งสินค้าโดยอิงจากอัตราภาษีในแต่ละประเทศ
เสียงจากผู้เกี่ยวข้อง:

“ตอนนี้แน่นอนแล้วว่า 15% เราจึงเริ่มวางแผนโครงสร้างซัพพลายเชนได้ชัดเจน”

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอย่างมีนัยสำคัญ หรือมีสินค้าจากญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น

แนวโน้มในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์

เมื่อใกล้ถึงช่วงสิ้นปี ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามีดังนี้:

・ยอดขายรถยนต์จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง?
→ หากผู้บริโภคลังเลในการซื้อเพราะราคาสูง จะกระทบต่อโลจิสติกส์

・การเพิ่มขึ้นของความต้องการอาจนำไปสู่การใช้ขนส่งทางอากาศ
→ โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาจย้ายจากทางเรือเป็นทางอากาศ

นอกจากนี้ ใครจะเป็นผู้แบกรับภาษี (ผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้า) ก็มีผลต่อยุทธศาสตร์โลจิสติกส์เช่นกัน

สรุป

สิ่งที่โลจิสติกส์ไม่อยากเจอที่สุดคือ “ภาษีที่เปลี่ยนแปลงบ่อยจนคาดเดาไม่ได้”
การที่มีอัตราภาษี 15% อย่างชัดเจนในครั้งนี้จึงช่วยให้ทุกฝ่ายวางแผนได้ง่ายขึ้น
ทั้งผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทโลจิสติกส์สามารถกลับมาดำเนินงานได้อย่างมั่นคง
แต่อย่าลืมว่า นโยบายการค้าเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เราจึงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ต่อไป

RELATED POSTS